ทุกคนมีลักษณะจำเพาะเฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำใครในร่างกายที่ใช้เป็นอัตลักษณ์ (identity) ในการยืนยันตัวตนได้ สิ่งเหล่านี้เรียกรวมๆได้ว่า Biometrics อย่างแรกที่มีใช้มานานแล้ว(และยังคงใช้อยู่มาจนถึงปัจจุบัน) คือการพิมพ์ลายนิ้วมือที่ผู้เชี่ยวชาญสามารถมาดู และยืนยันได้ว่าลายนิ้วมือสองอันเป็นของคนเดียวกันหรือไม่ เมื่อมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ การสแกนลายนิ้วมือเข้าออกประตูก็เป็นที่แพร่หลาย Biometric อีกตัวที่มีการวิจัย และนำมาใช้งานได้จริงคือการสแกนม่านตา(Iris)ที่มีลวดลายไม่ซ้ำกันในแต่ละคน แม้จะมีการนำมาใช้ได้จริงแต่ไม่เป็นที่แพร่หลายนัก เนื่องจากฮาร์ดแวร์มีราคาแพง และใช้งานไม่สะดวก เสียงสามารถใช้เป็น Biometric ได้เช่นกัน แต่จะมีปัญหาในเรื่องเสียงรบกวน และคุณภาพเสียงเวลาพูดห่างไมโครโฟน จึงมักจะพบเห็นใช้แค่เวลาพูดผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น
อีกหนึ่งเทคโนโลยี Biometric ที่มาแรงและนับวันจะแพร่หลายมากยิ่งขึ้น คือเทคโนโลยีการสแกนใบหน้า มนุษย์ทุกคนใช้การแยกแยะคนที่เราพบปะด้วยการจำจากใบหน้าอยู่แล้วเป็นประจำ ด้วยเทคโนโลยี Deep Learning ที่ถูกพัฒนามาอย่างก้าวกระโดดในระยะหลังๆนี้ ทำให้การแยกแยะใบหน้าด้วยเทคโนโลยี AI ที่สร้างจากเทคโนโลยี Deep Learning สามารถใช้ได้จริงแล้วในวันนี้ด้วยความแม่นยำใกล้เคียงกับมนุษย์หรือมีความแม่นยำมากกว่ามนุษย์ (แม้แต่คนก็ไม่สามารถจำใบหน้าคนได้หมด 100%) ในบทความนี้ AI GEN จะพาทุกท่านมาเข้าใจเทคโนโลยี Biometric แบบละเอียดกันมากยิ่งขึ้น
เทคโนโลยี AI ที่มีความสามารถในการรู้จำใบหน้าของคนได้นั้น ต้องได้รับการเทรนให้เห็นหน้าของคนมาอย่างหลากหลาย โมเดล AI รุ่นใหม่ๆที่มีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์ได้รับการเทรนจากการเห็นหน้ามาหลายล้านหน้า โดยถูกกำหนดให้เรียนรู้ค้นหาลักษณะเฉพาะ(features)ที่สำคัญๆที่จะช่วยแยกแยะหน้าตาแต่ละคนจากรูปใบหน้าให้ได้ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น ระยะห่างระหว่างตา ตำแหน่งและความยาวของจมูก ลักษณะจำเพาะเหล่านี้ซึ่งบางทีคนก็อาจจะไม่สามารถบรรยายได้ด้วยตาเปล่าว่ามันคืออะไร และสามารถนำข้อมูลใบหน้าของแต่ละบุคคลไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลได้ และสามารถนำมาใช้เทียบกับลักษณะจำเพาะของรูปหน้าอีกรูปหนึ่งที่ต้องการตรวจสอบ เพื่อเปรียบเทียบว่าใกล้เคียงพอที่จะถือว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่
การใช้การสแกนใบหน้าแบบอัตโนมัติเป็น Biometric ในการยืนยันตัวตนที่ได้รับการยอมรับและมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน การทดลองใช้งานการจ่ายเงินด้วยใบหน้าก็เริ่มมีให้เห็นหลายที่ในโลก รวมถึงการตรวจจับคนร้ายหรือตามหาคนหาย จึงเป็นเทคโนโลยีที่มาแรง และมีโอกาสจะถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น แม้แต่ในธุรกรรมที่อาจไม่ได้มีความเสี่ยง แต่เน้นความสะดวกสบายแทนที่การใช้ (และต้องจำ)รหัสผ่าน มากขึ้นๆเรื่อยๆ เช่น การเข้าเรียน online การเช็คชื่อคนที่มาประชุม (attendance checking) การจำแนกคนเข้าออก และอื่นๆอีกมากมาย